วันที่ 29 ธันวาคม 63 พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.)ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนปราบปรามเครือข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับแรงงานที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเป็นประธานการประชุมนัดแรก ร่วมกับผู้แทนเหล่าทัพ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จึงเสร็จสิ้น
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลมีคำสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดตั้งศูนย์สืบสวนปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ทั้งนี้ ตร.จะเน้นหนักไปที่การสืบสวนจับกุมกระบวนการและการขนย้ายแรงงานต่างด้าวข้ามพื้นที่ ยืนยันว่าหากเกี่ยวข้องกับคนมีสีก็ไม่มีการละเว้น พร้อมตรวจสอบคัดกรองคนต่างด้าวเพื่อเข้าสู่ระบบการสอบสวนโรคตามแนวทางสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ส่วนการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดนเส้นทางธรรมชาติ กองทัพจะเป็นเจ้าภาพหลัก ซึ่งช่วงนี้จะเน้นชายแดนไทย-พม่าเพราะยังมีการระบาดของโรคโควิด-19 และมีแรงงานเข้ามาประเทศไทยมากที่สุด สำหรับการปฎิบัติงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ถือว่ามีผลที่น่าพึงพอใจ เพราะมีผลการจับกุมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการปฏิบัติในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 พฤศจิกายน สามารถจับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 23,381ราย, จับกุมผู้นำหรือพาคนต่างชาติโดยผิดกฎหมาย จำนวน 344 ราย, จับกุมผู้ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น คนต่างชาติโดยผิดกฎหมาย จำนวน 720 ราย เฉพาะเดือนธันวาคม ระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม จับกุมคนหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 547 ราย จับกุมผู้นำหรือพาคนโดยผิดกฎหมายจำนวน 21 ราย, จับกุมผู้ช่วยเหลือ ซ่อนเร้นแรงงานโดยผิดกฎหมายจำนวน 117 ราย มี การระดมกวาดล้างขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวตามหมายจับ จำนวน 4 หมายจับ (CCOC)
ส่วนกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ไปร้องกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ว่ามีตำรวจภูธรภาค 7 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และฝ่ายปกครอง มีส่วนเกี่ยวข้องรับผลประโยชน์กับขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ เพราะเพิ่งได้รับเรื่องมาจาก ปปป.
Advertisement
