วันที่ 12 มิถุนายน จ.ตรัง ที่สภ.หาดสำราญ ชาวบ้านในพื้นที่กว่า 300 ชีวิตต่างทยอยกันเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน หลังถูกสภ.หาดสำราญ ออกหมายเรียกพยานครั้งที่ 1 เพื่อทำการสอบปากคำ หลังมีมิจฉาชีพนำชื่อเอกสารของชาวบ้านไปแอบอ้าง ทั้งที่ไม่มีการนำชาวบ้านไปเที่ยวหรือเข้าไปพักในโรงแรมจริง ชาวบ้านที่ถูกออกหมายเรียกมีทั้งรายที่เคยนำเอกสารไปยื่นเพื่อสมัครเข้าร่วมโครงการ และชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยได้ยื่นเอกสารสมัคร แต่กลับมีชื่อ จนทำให้ชาวบ้านต่างวิตกกังวลว่าจะมีส่วนในการร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
หญิงอายุ 41 ปี กล่าวว่าตนเองก็ตกใจหลังที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงบ้าน พร้อมทั้งสอบถามว่าเคยได้ไปเที่ยว 2 โรงแรมตามที่ปรากฏชื่อหรือไม่ ตนก็เลยยืนยันว่าไม่เคยได้ไป และยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ เพราะมีชื่อไปปรากฏอยู่ว่าเคยไปเที่ยวเข้าร่วมกับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และทางตำรวจยังได้ถามอีกว่าเคยเอาเอกสารสำคัญ หรือบัตรประจำตัวไปให้กับใครบ้าง ก็ยืนยันว่าไม่เคย
แต่มีอยู่ครั้งตนเองได้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปตั้งไว้ที่ร้านมินิมาร์ทในพื้นที่ เลยน่าจะถูกนำเอาบัตรดังกล่าวไปใส่ชื่อเข้าร่วมในโครงการจนทำให้ถูกหมายเรียกให้มาเป็นพยานในครั้งนี้ ขอยืนยันว่าไม่เคยได้ไปเที่ยวหรือได้รับเงินเลย ทุกวันทำงาน และเลี้ยงลูก แต่กลับมาถูกตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว โดยในครั้งนี้ตนไม่ยอมอย่างแน่นอนขอให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดให้ถึงที่สุด อย่าปล่อยให้คนอื่นต้องตกเป็นเหยื่อกลโกงอีก
ขณะที่ชายอายุ 48 ปี กล่าวว่าตนขอความเป็นธรรมเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือกรกฎาคมปีก่อน ที่ผ่านมาตนได้ยินว่าเจ้าของร้านมินิมาร์ทในพื้นที่มาประกาศกับชาวบ้านว่าทางรัฐบาลจะมีการช่วยเหลือเงินให้กับชาวบ้านคนละ 50,000 บาท ตนก็เลยได้เข้าไปหาพรรคพวกกับเจ้าของมินิมาร์ทเพื่อสอบถามก็ได้รับคำตอบยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เป็นโครงการจิตอาสาพอเพียง ถ้าใครอยากได้เงินจำนวน 50,000 บาท ก็ให้นำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และบัญชีมาให้ ด้วยความที่อยากเข้าร่วมก็เลยรวบรวมเอกสารทั้งของตนและของญาติพี่น้องเพื่อนำไปให้รวมทั้งชาวบ้านคนอื่นๆ ด้วย จากนั้นเป็นตนมาเรื่องก็เงียบไปโดยที่ไม่ได้รับความคืบหน้า จนกระทั่งมีหมายเรียกให้มาเป็นพยานถึงที่บ้านและเดินทางเข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่วันนี้ และยืนยันว่าไม่เคยได้รับเงินใดๆ หรือเข้าไปพักที่โรงแรมใด แถมหมายเลขมือถือของตนถูกยืนยันว่ามีการเบิกถอนเงินไปแล้ว ทำให้ตนไปตรวจสอบกับทางธนาคารแต่ปรากฏว่าไม่เคยมีเงินในส่วนดังกล่าวเข้ามาในบัญชี ตนก็หวั่นใจเหมือนกันที่ชาวบ้านหาเช้ากินค่ำตกเป็นเหยื่อ วอนขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือชาวบ้านด้วย
รายงานข่าวระบุว่า คดีดังกล่าวทาง สภ.หาดสำราญ ได้รับเรื่องมาจากส่วนกลาง เพื่อให้ทำการสอบปากคำพยาน และจะต้องรวบรวมส่งเข้าไปยังส่วนกลางในวันที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้ และคาดว่าน่าจะมีอีกหลายจังหวัดเกือบทั่วประเทศไทย ส่งผลทำให้รัฐเสียหายกว่าหลายล้านบาท สำหรับเจ้าของร้านมินิมาร์ทซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้เดินทางมารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนแล้ว แต่ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่ายังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่อีกหรือไม่ และคาดว่าน่าจะมีผู้อิทธิพล เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวอีกจำนวนหนึ่ง
Advertisement