เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 กรณีโซเชียลมีเดียแชร์คลิปไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของหญิงสาวรายหนึ่ง ถือทะเบียนสมรสบุกไปที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.ท่าชัย อ.เมือง จ.ชัยนาท พร้อมระบุว่าฝ่ายเจ้าบ่าวยังไม่ได้จดทะเบียนอย่ากับตน แต่กลับถูกไล่ออกจากงานจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ นั้น ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และระเบียบ ก.ตร.ว่าด้วยวิธีการเสริมสร้างและพัฒนาให้ข้าราชการตำรวจมีวินัยและป้องกันมิให้ข้าราชการตำรวจกระทำผิดวินัย พ.ศ.2549 ได้กำหนดมาตรฐานการลงโทษวินัยอย่างไม่ร้ายแรง และได้กำหนดโทษเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันชู้สาวมีโทษกักขังตามกฎหมาย ส่วนใหญ่จะประมาณ 30 วัน
โดยข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องกับหญิงอื่น หรือชายอื่น โดยที่ตนเองมีภรรยา หรือสามีอยู่แล้ว และเกิดเรื่องเสื่อมเสีย โดนกักขัง 30 วัน ได้หญิงหรือชาย เป็นภรรยา หรือสามี แล้วไม่เลี้ยงดู เกิดเรื่องเสื่อมเสีย หรือเสียหายโดนกักขัง 30 วัน หากจดทะเบียนสมรสซ้อน โดนกักขัง 30 วัน ไม่เลี้ยงดูคู่สมรสและบุตร และไม่ยกย่องฐานานุรูป โดนกักขัง 30 วัน
ทั้งนี้ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในใบสำคัญการหย่าเกี่ยวกับการอุปการะบุตร ความผิดครั้งแรก ภาคทัณฑ์ ความผิดครั้งที่สอง ไม่ว่าจะเป็นการหย่ารายเดียวกันหรือไม่ก็ตาม กักยาม 3 วัน และความผิดครั้งที่สามและครั้งต่อไป กักยาม 3 วัน และพิจารณาตั้งกรรมการสอบสวน ม.101 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2552 ยังมีการแก้ไขแนวทางการลงโทษทางวินัยร้ายแรง ในข้อ 10 เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ในข้อ 10.1 จากเดิมว่า “เป็นชู้หรือมีชู้กับภรรยาหรือสามีผู้อื่น” (ปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี) เป็น “ชู้หรือมีชู้ หรือมีพฤติการณ์เป็นชู้หรือมีชู้กับภรรยาหรือสามีผู้อื่น” (ปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี) ทั้งนี้ บทลงโทษต่างๆ จะต้องขึ้นอยู่กับการสอบสวนของผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และเป็นคนสั่งลงโทษตามกฎระเบียบดังกล่าว
Advertisement