พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยหลังจากตำรวจขึ้นไปตรวจสอบบนเรือของกลาง 3 ลำ เบื้องต้นพบว่าบนเรือแต่ละลำ เหลือน้ำมันเล็กน้อยซึ่งเพียงพอสำหรับแค่การขับเคลื่อนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถยืนยันเป็นจำนวนมากตัวเลขที่ชัดเจนได้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ โดยขนาดความลึกของถังอยู่ที่ 3.8 เมตรแต่เหลือเพียง 1 เมตร ขอเวลาให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบให้ชัดเจน โดยเรือทั้ง 3 ลำ มีมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่าน้ำมันของกลางที่อยู่บนเรือไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของกลุ่มผู้ต้องหา เพราะสามารถขายได้เพียงลิตรละ 10 บาท มูลค่ารวม 4 -5 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนน้ำมันที่สูญหายไป ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และเรือทั้ง 3 ลำก็ยังต้องถูกอายัดเป็นของกลาง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้เสียหายมาแสดงตัวยืนยันเป็นเจ้าของเรือ ศาลจึงออกหมายจับในเรื่องของการลักทรัพย์ซึ่งเป็นของกลางเท่านั้น ซึ่งก็แน่ชัดว่าเหตุการณ์นี้ต้องมีเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องต่อหน้าที่ ขณะนี้สั่งการว่าต้องมีความชัดเจนในเรื่องของการสอบสวน ภายใน 7 วัน ซึ่งต้องมาดูว่าการบกพร่องต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ก่อนเอาผิดตามมาตรา 157 ยืนยันว่าไม่มีละเว้นดำเนินการขั้นเด็ดขาด
“ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 8 คน จะถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ รวมถึงอีก 7 คนที่หลบหนี อยู่ระหว่างการติดตามตัว ซึ่งอยากฝากถึงผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ว่าอยากให้เข้ามอบตัว และให้การกับตำรวจ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำคดี ซึ่งเจ้าของเรือถือเป็นคนสำคัญ ส่วนผู้ต้องหา 28 คนในคดีที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ก็จะต้องส่งฟ้องไป ตามกระบวนการทางกับกฎหมาย พร้อมทั้งเตรียมเพิกถอนการประกันตัว”
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า โดยเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ถูกจับทั้งหมดนี้เป็นเพียงลูกจ้าง ส่วนตัวการจะสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ ในการซื้อขายน้ำมันเถื่อนเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเรือไปเป็นลูกจ้างก็จะกินนอนอยู่บนเรือโดยมีสุนัขเฝ้าเรืออยู่ด้วย และไม่ได้ติดต่อกับทางครอบครัว ส่วนพยานหลักฐานที่จะเชื่อมโยงถึงเจ้าของเรือหรือผู้สั่งการ จะมีการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ในครั้งนี้อาจจะมีส่วนให้เป็นการเพิ่มโทษกับตัวนายโจ้ ปัตตานี ในส่วนคดีแรกที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งยอมรับว่าตัวนายโจ้เองไม่ธรรมดา ใช้เงินเป็นอาวุธ ตามจับมานานแล้วแต่ก็หลุดรอดไปได้ ทุกครั้ง