“บิ๊กต่าย” ยืนยันเดินหน้าดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่นำไปสู่อุบัติเหตุของรถบัสคณะทัศนศึกษา ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทำสำนวนคดีสั่งฟ้อง

(2 ต.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุมอมรสิวัฒน์ ตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. // พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 รรท.ผบช.ภ.1 // พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1 // พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี // พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. // พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผบก.นต.รพ.ตร. และ นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลงความคืบหน้าคดีอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบัสรับส่งนักเรียนทัศนศึกษา ที่เกิดเหตุเมื่อวานนี้ โดยก่อนที่มีการแถลงข่าวได้มีการยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 1 นาที

โดยเบื้องต้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เปิดเผยว่า การแถลงในวันนี้จะเน้นไปใน 4 ประเด็นหลัก คือการสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น // กระบวนการสอบสวนดำเนินคดี // การตรวจสภาพรถที่เกิดเหตุ และการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต โดยการเกิดอุบัติเหตุเมื่อวานนี้บนถนนพหลโยธิน กม.28 หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี เป็นรถบัสคณะทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ที่เดินทางมาด้วยรถบัสจำนวน 3 คัน ระหว่างเดินทางมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อมุ่งหน้าไปจังหวัดนนทบุรี ซึ่งขณะเกิดเหตุรถบัสคันที่ 2 ที่มีผู้โดยสารจำนวน 45 คน ประกอบด้วย ครู 6 คน และนักเรียนชั้นอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา จำนวน 39 คน เกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งขณะนั้น มีจำนวนผู้โดยสารที่หนีออกมาได้ทัน 22 คน คือ ครู 3 คน และนักเรียน 19 คน ในจำนวนนี้มีนักเรียน 3 คนถูกส่งตัวไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลแพทย์รังสิต 3 คน อาการเบื้องต้น 2 คนอยู่ระหว่างการรักษาโดยแพทย์ และอีก 1 คนรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU ส่วนจำนวนที่เหลือ เป็นครู 3 คน และนักเรียน 20 คน เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และล่าสุดได้มีการนำร่างทั้ง 23 คน ไปพิสูจน์อัตลักษณ์และ DNA ที่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ เบื้องต้นสามารถยืนยันตัวตนได้แล้ว 22 คน ได้ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ส่วนอีก 1 คน อยู่ระหว่างรอผู้ปกครองมาตรวจ DNA ในวันนี้

โดยหลังจากนี้จะมีการนำร่างผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 22 คน ส่งกลับ จังหวัดอุทัยธานี เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งจะใช้รถมูลนิธิ 1 คันต่อ 1 ศพ และสนับสนุนรถพยาบาลฉุกเฉิน (แอมบูแล้นท์) ให้ญาติผู้เสียชีวิต 1 คัน ต่อ 1 ครอบครัว เดินทางกลับด้วย โดยจะจัดขบวน 4-5 ขบวน ขบวนละ 5 ศพ และใช้รถนำของตำรวจทางหลวงนำ และตำรวจท่องเที่ยวปิดท้ายขบวน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และระหว่างทางจะหยุดตรงจุดเกิดเหตุ เพื่อประกอบพิธีเชิญวิญญาณผู้เสียชีวิตด้วย

ทั้งนี้ รทท.ผบ.ตร. ยังฝากถึง สื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวที่จะจะต้องไม่กระทบต่อความรู้สึกและจิตใจของญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงการเผยแพร่ภาพผู้เสียชีวิต

ขณะที่ พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เปิดเผยถึงขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า หลังจากที่ตำรวจภูธรภาค 1 ได้ติดตามจับกุมตัวคนขับรถบัสที่เกิดเหตุ โดยได้ติดตามทั้งที่บ้านของภรรยาและญาติ จนกระทั่งคนขับรถบัสได้เข้ามอบตัวที่ สภ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทองเมื่อคืนนี้ และนำตัวมาสอบปากคำที่สภ. คูคตจังหวัดปทุมธานี เบื้องต้นคนขับให้การเบื้องต้นว่า ในขณะที่เกิดเหตุได้ยินเสียงดังบริเวณใต้ท้องรถด้านหน้าซ้าย ซึ่งครั้งแรกเข้าใจว่า กระบอกกลมโช้คแตก จึงทำให้ลดสูญเสียการทรงตัวและเกิดประกายไฟขึ้นที่ถังเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังได้ถามไปในเรื่องของประตูฉุกเฉินภายในรถว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ คนขับระบุว่า ก่อนที่จะนำนักเรียนคณะดังกล่าวเดินทางได้มีการตรวจสอบด้วยการเปิดปิดแล้วว่าสามารถเปิดได้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะนำข้อมูลของการสอบปากคำไปประกอบการพิจารณากับพยานหลักฐานที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานได้ดำเนินการตรวจสอบทั้งรถบัส รวมถึงสถานที่เกิดเหตุว่าสอดคล้องกันหรือไม่ แต่เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา “ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรคสอง ในเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวไว้ ณ สภ.คูคต เตรียมที่จะนำตัวไปฝากขัง

ขณะที่นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากข้อมูลทางเอกสารรถบัสคันดังกล่าว ได้มีการจดทะเบียนครั้งแรกเมื่อปี 2513 และมีการจดทะเบียนใหม่ในวันที่ 26 ตุลาคม 2561 พร้อมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงคัสซี ตัวถัง ที่นั่ง และเปลี่ยนแปลงระบบก๊าซใหม่ ซึ่งในเอกสารมีการรับรองโดยวิศวกร จำนวน 6 ถัง แต่ความจริงพบ 11 ถัง ซึ่งไม่สอดคล้องกัน ส่วนในเรื่องของการตรวจสอบความเร็วในวันเกิดเหตุ พบว่ามีการใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่กฎหมายกำหนด หรือใช้ ความเร็วประมาณ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังพบข้อมูลการตรวจสภาพรถล่าสุดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 และยื่นภาษีรอบถัดไปคือวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งถือเป็นข้อมูลการตรวจรถยนต์ตามปกติ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องนำข้อมูลการใช้รถไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลพยานหลักฐานของ พฐ ว่าสอดคล้องกันหรือไม่ โดยหลังจากนี้ ขนส่งทางบกจะได้มีการเรียกรถ โดยสารจำนวน 13,426 คัน เข้ามาตรวจสภาพ อายุการใช้งานของคัสซี ที่จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เบื้องต้นได้ระงับใบอนุญาตสถานประกอบการบริษัทดังกล่าวรวมถึงใบอนุญาตขับขี่ของคนขับด้วย

ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร. เปิดเผยหลังส่งตำรวจ พฐ. เข้าตรวจสอบซาก ซากรถบัสคันดังกล่าว รวมถึงสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งถือว่าเป็นการตรวจสอบหลังจากที่รถเกิดเหตุเพลิงไหม้ไปแล้วพบว่าประตูฉุกเฉินสามารถเปิดได้ แต่ต้องไปขยายผลต่อว่าในระหว่างเกิดเหตุสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ และระหว่างนี้กำลังตรวจเส้นทางรถบัสก่อนที่จะเกิดเหตุ เพื่อนำไปประกอบข้อมูลการพิจารณาสรุปสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่า การเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ จะนำไปสู่การพิจารณาในเรื่องของการใช้รถโดยสารไม่ประจำทางสำหรับการเดินทางเป็นคณะทัศนศึกษาของเด็กนักเรียนในอนาคตที่จะต้องมีความรอบคอบมากยิ่งขึ้น และจะต้องผ่านการได้รับอนุญาตจากขนส่งของจังหวัด ที่ต้องตรวจตราสภาพรถที่จะใช้งาน รวมถึงการซักซ้อมอุบัติเหตุฉุกเฉินให้กับผู้ขับขี่ และพนักงานประจำรถ รวมถึงจะต้องมีการใช้รถนำขบวนและปิดท้ายขบวนในการดูแลดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดการเดินทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ พร้อมให้ความมั่นใจต่อญาติผู้เสียชีวิตว่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ทั้งหมดในทุกฐานความผิดที่ตรวจพบโดยไม่มีการละเว้น ซึ่งตนจะคอยติดตามความคืบหน้าของคดีอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นในเรื่องของอุบัติเหตุหรือความประมาทของผู้ขับขี่

Advertisement