ตำรวจ ปคม. ตรวจค้น 5 จุด ใน จ.ปทุมธานี สมุทรสาคร และกรุงเทพ จับกลุ่มผู้ต้องหา 8 คนไทย 1 เกาหลี แอบอ้างเป็นบริษัทจัดหางานส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์และเกาหลีใต้

เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 4 ธ.ค. ที่ ห้องประชุมชั้น 2 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ ผกก.1 บก.ปคม., พ.ต.ท.ชัยชนะ สุริยวงค์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.1 บก.ปคม., พ.ต.ท.นิติ ด่านไพบูลย์, รอง ผกก.1 บก.ปคม. ร่วมกับนายสนธยา กาลาศรี ผู้อำนวยการกองทะเบียนจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน, นายจัสติน อัลเวส ที่ปรึกษาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนิวซีแลนด์, นายมิสคาริน มัลธัส ที่ปรึกษาตำรวจนิวซีแลนด์ และนายลี ยองกอน ผู้ช่วยตำรวจสถานทูตเกาหลี ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ “ปิดตำนานกงจู ” รวบบริษัทจัดหางาน หลอกคนไทยไปทำงานประเทศนิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาท

สำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ กก.1.บก.ปคม.ได้จับกุมผู้ต้องหา 9 ราย ตามหมายจับศาลอาญาข้อหา “พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 , ฉ้อโกงประชาชน , ฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน” นอกจากนี้ยังจับ น.ส.สุภาภรณ์ อายุ 48 ปี นายไฮไซ อายุ 41 ปี และ น.ส.สุกัญญา อายุ 64 ปี ตามหมายจับข้อหา “พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 และฉ้อโกงประชาชน” รวมทั้งยังจับกุมนายฮุน อายุ 67 ปี ชาวเกาหลีใต้ ข้อหาร่วมกันจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง โดยจับผู้ต้องหาทั้งหมดได้ที่บ้านพักย่านคลองสี่ ปทุมธานี และตรวจค้นอาคารพาณิชย์ในพื้นที่สุขุมวิทซอย 13 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา หลังพบว่าเป็นสถานที่นัดผู้เสียหายมาทำเอกสารเพื่อไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ พร้อมตรวจยึดทรัพย์สินต่างๆ ประกอบด้วย โฉนดที่ดิน ,สมุดบัญขีธนาคาร 17 เล่ม ,ทองคำหนัก 10 บาท, รถยนต์ 2 คัน ,รถจักรยานยนต์ 1 คัน หนังสือเดินทาง 450 เล่ม

พล.ต.ต.ศารุติ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจาก กก.1 บก.ปคม. ได้รับหนังสือร้องทุกข์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรมการจัดหางานให้ตรวจสอบบริษัท กงจู ย่านกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร หลังมีผู้เสียหาย 13 ราย เข้าร้องทุกข์ว่ามีผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 จากการสืบสวนพบบริษัทดังกล่าวมีพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาน่าเชื่อว่ากระทำการเป็นขบวนการหลอกลวง โดยเริ่มหลอกลวงประชาชนทั่วไป ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 – ก.ค. 67 มีการวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำตลอดเรื่อยมา โดยผู้ต้องหากลุ่มแรกจะทำหน้าที่จดทะเบียนบริษัทบังหน้าว่าเป็นบริษัทจัดหางาน เพื่อส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ จากนั้นผู้ต้องหาอีกกลุ่มจะพูดจาหว่านล้อมหลอกลวงประชาชนทั่วไปว่า สามารถยื่นขอวีซ่าและจัดหางานที่ประเทศนิวซีแลนด์ให้ได้ เนื่องจากได้รับสิทธิ (โควต้า) จากนายจ้างที่ประเทศนิวซีแลนด์ ให้หาคนไปทำงานประเภทงานเกษตร งานช่างตกแต่ง โรงงานขนมปัง โดยจะมีการสร้างความน่าเชื่อถือโดยการหลอกลวงว่าเคยมีผู้สมัครแล้วได้ไปทำงานจริง โดยที่นายจ้างและงานทั้งหมดไม่มีอยู่จริง

นอกจากนี้จากการตรวจสอบเอกสารยังพบว่าไม่ตรงกับความจริง เช่น มีการหลอกลวงผู้เสียหายว่าได้รับวีซ่าประเภทถาวร และมีการเรียกเก็บค่าบริการเกินราคามาตรฐานบริษัทจัดหางานทั่วไป โดยไม่ได้มีเจตนาจัดหางานให้ผู้เสียหายทั้ง 13 คน ไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ได้จริง และยังพบว่ามีการหลอกลวงผู้เสียหายโดยใช้แผนพฤติกรรมรูปแบบเดิม สร้างความเสียหายต่อประชาชนผู้ที่ต้องการเดินทางทำงานต่างประเทศและมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้ขอศาลอาญาออกหมายจับและหมายค้น ก่อนที่จะจับกุมผู้ต้อวหาทั้งหมดและตรวจยึดทรัพย์สินได้ดังกล่าว

พล.ต.ต.ศารุติ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบข้อมูลอีกว่าผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าวได้ลักลอบเปิดบริษัทจัดหางาน ที่ อ.เมืองมุกดาหาร เป็นตัวแทนจัดหาแรงงานไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้อีก โดยพบเอกสารและหนังสือเดินทางของผู้เสียหายที่ต้องการไปทำงานที่เกาหลีใต้กว่า 450 คน สำหรับกรณีนี้ผู้เสียหายได้ชำระเงินค่าดำเนินการไปแล้วรายละ 5,000 บาท และจะต้องจ่ายเงินก้อนอีก 8 หมื่นบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่า ถ้าได้ไปทำงานที่เกาหลีใต้จะได้ค่าตอบแทนหลักแสนบาทต่อเดือนด้วย

จากการสอบปากคำกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 8 รายให้การปฏิเสธ อ้างว่าสามารถดำเนินการจัดหางานให้กลุ่มแรงงานได้จริงแต่ขณะนี้ติดขั้นตอนการยื่นวีซ่า จึงทำให้กระบวนการล่าช้า นำตัวทั้งหมดส่ง กก.1.บก.ปคม.ดำเนินคดีและขยายผลหาผู้ร่วมกระทำผืดต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับกลุ่มผู้ต้องหาคนไทยทั้ง 8 รายนั้น เดิมทีเปิดบริษัทจัดหางานหลอกคนงานไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์อย่างเดียว หลังจากได้เจอกับนายฮุนแล้วจึงได้เริ่มร่วมแก๊งหลอกคนที่จะไปทำงานที่เกาหลีใต้เพิ่มอีกประเทศนึง จากการตรวจสอบประวัตินายฮุน พบว่ามีหมายจับฉ้อโกง 19 ล้านบาท ที่ประเทศเกาหลีใต้ และยังมีคดีฉ้อโกง ท้องที่ สน.สายไหมอีกคดี ก่อนจะมาถูกตำรวจกก.1.บก.ปคม.จับกุมได้ในครั้งนี้

Advertisement