(19 ส.ค.) นายประยุทธ เพชรคุณ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เเละรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 มีคำสั่งฟ้องนายกิตติเชษฐ์ ไชยเดช หรือชื่อเดิม นายสรายุทธ ไชยเดช (พี่ชายพิงค์กี้ สาวิกา ) กับพวกรวม 19คน ในความผิดฐานโดยทุจริต โดยหลอกลวงร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนฯ ,ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกง ซึ่งมี น.ส.สาวิกา หรือพิ้งกี้ ไชยเดช นักเเสดงชื่อดังเป็นจำเลยที่ 2และ นางสรินญา ไชยเดช เป็นจำเลยที่ 3 (มารดา)ด้วย
สำหรับคดีเเชร์ forex พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องทั้งหมด 3 สำนวน คดีแรก 1853/64 มีนายอภิรักษ์ โกธิ กับพวกรวม 4 คน ในความผิด พรบ.คอมฯ และ พรก.ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชน คดีที่ 2 ฟ้องนายสุภิญโญ มีสมปราชญ์ อีกสำนวนโดย2 สำนวนเเรกมีต้องหารวมกัน 5 คน ซึ่ง2 สำนวนนี้ ศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันและนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 29 ส.ค.เวลา 9.00 น.
จนเมื่อวานมีการยื่นฟ้องนายสรายุทธ ไชยเดช (พี่ชายพิงค์กี้ สาวิกา ) กับพวกรวม 19คน (ศาลไม่ให้ประกันทั้งหมด) ซึ่งมี น.ส.สาวิกา ดาราสาวด้วย ทำให้ทั้ง3 สำนวนรวมทั้งหมดมีจำเลย 24 คน โดยในคำสั่งของพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ4 ยังเเนะนำให้ดำเนินคดีในผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นผู้ร่วมกระทำผิดเเละจะอยู่ในฐานที่เป็นผู้ต้องหาอีก 16 คน ซึ่ง 2 ใน 16 คนนี้มีคนในวงการบันเทิงคือนาย พัฒนพล มินทะขิน สกุลเดิม กุญชร ณ อยุธยา (ดีเจเเมน), น.ส. สุธีวัน กุญชร หรือ ใบเตย อาร์สยาม ซึ่งจากการประสานระหว่างพนักงานอัยการเเละดีเอสไอทราบว่าอยู่ระหว่างดำเนินการในการดำเนินคดีทั้ง 16 คนตามที่อัยการเเนะนำไป
ด้านพันตำรวจตรีวรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุถึงการดำเนินคดี FOREX 3D ว่า ในส่วนของคดีดังกล่าวต้องแยกออกเป็นสองส่วน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจตรงกันว่าในส่วนของคดีการฟอกเงินมีการดำเนินการหลังจาก ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหากลุ่มแรกได้เมื่อตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งจนถึงขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งมีการ ยึดทรัพย์ไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ส่วนอีกฝั่งคือการดำเนินคดีเอาผิดผู้กระทำความผิดซึ่งในคดีแรกมีการดำเนินการกับนายอภิรักษ์ โกฎธิ ที่เป็นผู้บริหารสูงสุด พร้อมกับพวกรวมเป็น 4 คน ซึ่งในส่วนของตัวผู้ต้องหาปัจจุบันมีการดำเนินการคุมขังอยู่ในเรือนจำหลังจากที่ทางดีเอสไอสามารถจับกุมตัวนายอภิรักษ์ได้จากคอนโดหรูย่านทองหล่อในช่วงเดือนมกราคมปีที่แล้ว
ในส่วนของดาราสาวพิงกี้ที่เพิ่งเข้าเรือนจำหลังศาลอาญาไม่ให้ประกันตัวชั่วคราว เมื่อวานนี้จัดอยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาลำดับที่สอง ที่มีจำนวนรวมทั้งหมด 21 คนแต่หลบหนีหมายศาลไป 2 คน จึงเหลือเพียง 19 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมไปถึงพี่ชายและมารดาของดาราสาวเองด้วย
โดยในส่วนของกลุ่มผู้ต้องหาที่อยู่ในลำดับที่ 2 เป็นกลุ่มผู้ต้องหาที่มีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำ เช่น การร่วมลงทุนหรือชักชวนให้มีผู้เข้ามาร่วมลงทุน โดยในส่วนของดาราสาว พิงกี้ จากข้อมูลพบว่ามีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่ามีการเซ็นสัญญาร่วมลงทุนกับกลุ่มผู้บริหาร และมีการชักชวน โดยรู้จักและเข้าร่วมกับกลุ่มผู้บริหาร โดยการรู้จักผ่านทางพี่ชาย ที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ในลำดับที่สองเช่นเดียวกัน
ล่าสุดที่มีกระแสข่าวว่า พนักงานอัยการมีการส่งหนังสือแนะนำให้ดำเนินคดีเพิ่มเติมกับอีก 16 คน ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษเมื่อมีการตรวจสอบพบว่ามีหนังสือแนะนำจากพนักงานอัยการมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจริงเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาโดยมีรายชื่อ 16 บุคคลที่พนักงานอัยการมีความเห็นว่าควรจะพิจารณาดำเนินคดีเพิ่มเติมไปในคดีนี้ซึ่งในส่วนของ 16 บุคคลที่มีการส่งรายชื่อมา ปรากฏชื่อ นายพัฒนพล มินทะขิน หรือดีเจแมน และนางสาวสุธีวัน กุญชร ใบเตย อาร์สยาม จริงตามกระแสข่าว ซึ่งในขั้นตอนต่อจากนี้พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่า 16 บุคคลตามรายชื่อใหม่มีความเกี่ยวข้องทางคดีในด้านไหนบ้าง และมีความผิดที่ต้องดำเนินคดีทางอาญาหรือไม่ เนื่องจากเป็นกฎระเบียบพื้นฐานตาม ระเบียบวิธีพิจารณาคดีความอาญามาตรา 134 ว่าพนักงานสอบสวนต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนก่อนจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามสมควรดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวยังไม่สามารถกำหนดกรอบระยะเวลาของการทำงานได้ แตกต่างจากการที่พนักงานอัยการมีหนังสือให้สั่งสอบเพิ่มผู้ต้องหาในคดีเพราะในลักษณะของการสั่งให้มีการสอบเพิ่มในคดีอาญาเป็นการสั่งให้สอบในประเด็นต่างๆเพิ่มเติม รวมถึงอาจเป็นการเพิ่มโทษในคดีที่มีการแจ้งข้อหาไปแล้ว แต่ในส่วนของการแนะนำให้พิจารณาจะเป็นการแนะนำให้ตรวจสอบบุคคลซึ่งอาจจะไม่มีความผิดก็ได้ เช่นกัน
โดยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษยังฝากถึงกลุ่มดารานักแสดงผู้มีชื่อเสียงทางสังคมหรือเป็นที่รู้จักของประชาชนว่าหากมีการถูกชักชวนให้ร่วมเป็นพรีเซนเตอร์หรือโฆษณากลุ่มธุรกิจที่มีพฤติการณ์เข้าข่ายการเป็นแชร์ลูกโซ่หรือการร่วมลงทุนต่างๆขอให้ตรวจสอบกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่กำกับดูแลลักษณะ ของธุรกิจนั้นนั้นเพื่อความถูกต้องเพราะไม่มีการลงทุนใดที่ไม่มีความเสี่ยงและได้ผลตอบแทนสูงเกินจริงโดยไม่ต้องทำอะไร เพราะหากตกลงเป็นพรีเซนเตอร์หรือตัวแทนในการชักชวนบุคคลอื่นหากธุรกิจนั้นนั้นมีความผิดก็จะถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน
Advertisement